Power of Love

I am creating new program of Blog by PHP. Then, I head to this site to study and test it. I would like to know what procedure is. If you know about programming and process, Plz recommend me. Really Thank You.

Sunday, January 15, 2006

อย่าดับพระวิญญาณ อย่าประมาทคำเผยข้อลับลึก

(สิ่งที่เรียนรู้จากคริสตจักร และการเข้ากลุ่มอากาเป้สำหรับวันนี้)


1. อย่าดับพระวิญาณ อย่าประมาทคำเผยข้อลับลึก [1 เธสะโลนิกา 5:19-20]

เป็นการน่าเสียดาย หากการทรงนำของพระเจ้า จะถูกดับด้วยอะไรซักอย่าง วันนี้พระวิญญาณไม่ถูกดับ และพระองค์ตอบคำอธิษฐานมากมาย จากที่แสวงหาพระเจ้า ในเรื่องทิศทางของกลุ่มพอสมควร คำตอบเหมือนจะมาช้า แต่พระองค์ก็ไม่สายตามเคย พระเจ้ายืนยันหลายครั้งว่าเป็นสิ่งนี้ แม้จะดูเหมือนมีบางอย่างกั้นขวาง และเป็นเรื่องยากที่จะพูดให้ใครซักคนรับฟัง ในที่สุด จากการขอพระองค์ ถึงสิ่งที่พระเจ้ายืนยันหลายครั้งว่าใช่ ให้ได้มีโอกาส แล้วก็เป็นจริง แต่ก็เกิดความสับสนขึ้นมา ในระหว่างที่เผชิญวิญญาณต่างๆ ที่สัมผัสได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะดูเหมือนไม่สูงมาก แต่ก็อันตรายทีเดียว ทำให้การทำงานของพระองค์ ไปได้ไม่เต็มที่

  1. ความหยิ่งบนความถ่อมใจ
    เคยมีคำกล่าวไว้ว่า คุณธรรมของคริสเตียนที่ยากที่สุด คือ "ความถ่อมใจ"
    ความถ่อมใจ คือ การที่ยอมรับ และเห็นว่าผู้อื่นดีกว่าตน ถ้ามองลงไปลึกๆ ในจิตใจ สามารถยอมรับกับพระเจ้าได้ ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ยากจริงๆ แต่ความรักของพระเจ้า ก็สามารถลบล้างมันได้ เพราะ ความรัก ย่อมไม่จดจำความผิดผู้อื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ การมองคนในแง่ลบบ้าง เพื่อคิดให้ทันคน เพื่อให้รู้ว่าคนอื่นนั้นร้าย ไม่ได้มาจากความรัก
    วันนี้ สามารถสัมผัสวิญญาณแห่งความเย่อหยิ่งได้ (ไม่ทราบว่าเป็นผีตัวเดียวกับที่ขับในฝันบ่อยๆ หรือเปล่า) แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า วิญญาณนี้มาจากภายนอก (ไม่ใช่เราเอง) การที่เราพูดได้ว่ากลับใจจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใจมนุษย์สุดจะหยั่งถึงนัก มีหลายสิ่งมากมาย ที่บอกได้ว่า เบื้องหลังแล้ว ก็มีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย
    ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "เราทุกคนต่างก็มีความรู้ ความรู้นั้นทำให้คนลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น" พระคัมภีร์จึงพูดย้ำเสมอ ว่าให้เราเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีอะไรเลย เพื่อเราจะเป็นคนเข้มแข็ง โดยพระเจ้ากระทำกิจผ่านชีวิตของเราได้ มนุษย์ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าด้วยความดี และการอยู่ในธรรม แต่เพราะความต้อยต่ำ หากมนุษย์ซักคนหนึ่ง จะดีใจที่เราเอาตัวรอด ดำเนินชีวิตคริสเตียน มั่นคงกว่าคนอื่น นั่นเป็นความหายนะโดยแท้ เหมือนกับก้อนดินก้อนหนึ่ง ที่บอกช่างปั้นว่า มันเป็นของพร้อมใช้สอย ทั้งที่ยังไม่ถูกปั้น
    สิ่งที่ได้เรียนรู้ในอาทิตย์ที่ผ่านมา คือ ไม่ว่าใครจะมองเราเลวร้าย ตัดสินว่าเราจิตวิญญาณอยู่ระดับไหน เราก็ยังต้อยต่ำ ไม่มีสิ่งใดจะอวดได้ว่าเราดีกว่าที่ใครวิจารณ์เรา ความรู้สึกที่ว่าตนเองเป็นบาปที่น่าสมเพช ทำให้พบพระเจ้า และสัมผัสพระองค์แบบล้ำลึกอยู่เสมอ
    ดีใจที่อาทิตย์ที่ผ่านมา สัมผัสความพิเศษในพระเจ้าทุกๆ วัน สด ใหม่ เสมอ แม้จะไม่กล้าพูดได้ว่า เราเฝ้าเดี่ยว เราอยู่กับพระเจ้ามากกว่าใครหรือเปล่า หนังสือโรม 7 เป็นกุญแจที่ไขไปสู่ความจริงมากมาย ไม่มีซักครั้งที่พระเจ้าจะตอบ ว่ามนุษย์ดีพอแล้วหรือยัง เพราะในตัวมนุษย์ "ไม่มีความดีประการใดอยู่เลย" พระเจ้าสอนและย้ำว่า ความชอบธรรม สิ่งดี สิ่งทรงคุณ มาจากเบื้องบนเสมอ และเรารับก็พระคุณพระเจ้า มากมายเหลือล้น! แม้พระเยซูจะรู้ว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์ก็ตาม


  2. การ weight ความสำคัญฝ่ายวิญญาณ
    แม้การงานบางอย่างจะเกี่ยวข้องกับพระเจ้า เราต้องตระหนักให้มาก ว่ามันอยู่ระดับไหน เพื่ออะไร มีความสำคัญมากน้อยยังไง กับคริสตจักร หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงนำ แต่เกรงใจทำ ด้วยความจำใจ ร่วมมือ ร่วมงาน ก็จะมีผลลบกับการเกิดผลของเราเอง เหมือนดังที่เปาโลไม่พอใจ มาระโก จึงแยกทางกับบารนาบัส ไปตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเลือกผู้ร่วมงานใหม่ คือ สิลาส (แม้เปาโลเอง จะเห็นว่า มาระโกเป็นคนใช้การได้บ้าง ในภายหลังก็ตาม)
    พระเจ้าตรัสกับเราด้วยว่า ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ ที่แสดงว่าพระวิญญาณได้เคลื่อนไหวจริงๆ
    แต่เป็นการสัมผัสแตะต้องภายในจิตใจ หากพระเจ้าไม่ทรงนำ คริสเตียน ก็จะรู้สึกถึงความจืดชืดของสิ่งที่กำลังปฎิบัติในขณะนั้น และไม่พบการทรงนำนั้นๆ ... อย่างเมื่อวันศุกร์ เจอคนผีเข้าด่าคน ว่าจะฆ่าคน กล่าวคำหยาบช้าเดินทั่วถนน พระเจ้ามิได้ทรงนำให้เข้าไปยืนจ้องตา และสั่งขับในพระนามพระเยซู ทำให้คิดถึงตอนเปาโลขับผีทาสก่อนติดคุก เปาโลรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องขับ ตั้งแต่ ณ วินาทีแรก และเมื่อถึงเวลา พระวิญญาณก็จะทรงนำเอง
    การให้น้ำหนักเรื่องราวฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อไม่ตกอยู่ในอุบายของพญามาร ซึ่งบางที เราอาจจะไม่รู้ตัวเลย ในขณะที่ซาตานทำให้เราสนใจสิ่งที่มีคุณค่าน้อยกว่า เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยพลังแห่งคริสตจักร ในการขอการทรงนำจากพระเจ้า โดยการอธิษฐาน สามัคคีธรรม โดยไม่มีใจลำเอียงเข้าเข้างตนเพียงฝ่ายเดียว




2. ทัศนคติของพระเจ้ากับการพูด


  1. พูดเหมือนหนึ่งพูดพระวจนะคำพระเจ้า เพื่ออยู่ในความควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเสริมสร้างจิตวิญญาณของทุกฝ่าย "ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูด ก็ให้กล่าวเหมือนหนึ่งกล่าว พระภาษิตของพระเจ้า" [1 เปโตร 4:11] แล้วผู้ซึ่งได้รับเกียรติ จะเป็นพระองค์ (ซึ่งมนุษย์ไม่สมควรได้รับอยู่แล้ว)

  2. พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มีแต่จะทำให้คริสตจักรได้เติบโตขึ้น .....

  3. พูดเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่เพื่อยกย่องตนเอง และพูดเรื่องราวของตนเองเพื่ออวดใคร โดยเฉพาะเรื่องฝ่ายวิญญาณ เพราะพระธรรมยากอบกล่าวว่า "การโอ้อวดทุกอย่าง เป็นความชั่ว " และ "คนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด " [2 โครินธ์ 10:18]

  4. ไม่พูดส่อเสียด จะลดการสะสม สิ่งชั่วในใจลงไปได้มาก ไม่พร่ำบ่น เพื่อจะใช้โอกาสนั้น สรรเสริญ ขอบพระคุณพระเจ้าแทนได้ ไม่พูดไร้สาระ และพูดมุขตลกหยาบโลน เพราะการเติบโตฝ่ายวิญญาณ จะรั่วและลอยความชอบธรรมออกไป โดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ หรือเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น (พระเยซูเองก็ไม่พูดเล่น ตลกไร้สาระ แต่สั่งสอนเรื่องพระเจ้าด้วยสติปัญญา)


"ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว"
"ถึงคนโง่ หากนิ่งเสีย ก็นับว่าเป็นคนฉลาด เมื่อเขาหุบริมฝีปากของเขา ก็นับว่าเขามีความคิด"



3. การใช้ของประทานให้ถูกต้อง

การใช้ของประทานที่ถูกต้อง ไม่ใช่การสนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง แต่สิ่งเหล่านั้น ต้องกำเนิดมาจากพระเจ้า ดังแผนงานที่คลอดออกจากครรภ์มารดา

การที่ใช้คนจับปลาเก่ง ไปเก็บเกี่ยวไร่น่า และนวดข้าว ย่อมเป็นการใช้คนอย่างไร้ประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกัน หากคนถนัดตีกลอง แต่พยายามสอนเปียโนให้คนอื่น ทั้งที่ตนก็ยังอ่อน ก็เป็นการเพียงฝึกตนเอง ให้ดีขึ้นได้นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผู้อื่น ขัดแย้งกับหลักที่ว่า "Put the right man on the right job! " แต่สำหรับโลกฝ่ายวิญญาณ ความสำคัญอยู่ที่ การเสริมสร้างให้คริสตจักรจำเริญขึ้น และต้องไม่โดยไม่ทับซ้อน กับงานที่คนอื่นได้วางเอาไว้แล้ว ในทำนองเดียวกัน คนที่ไม่มีของประทานในการเตือนสติ เมื่อกระทำกิจแทนคนที่มี มักจะออกมาในรูปแบบส่อเสียดอยู่เสมอ (แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม คนที่สังเกตุวิญญาณ จะสัมผัสได้)

โดยปกติแล้ว การรับใช้ในงานใดงานหนึ่ง ควรเริ่มจากความรัก รักพระเจ้า รักผู้อื่น ไม่ใช่เริ่มต้นที่ การเห็นข้อบกพร่องของผู้อื่นก่อน แล้วคิดว่าตนมั่นคงดีแล้ว จึงอยากจะอุดรูให้ผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการรับใช้ ด้วยการงานของเนื้อหนัง ... ใน ยอห์น 6:28-29 กล่าวว่า การงานของพระเจ้า คือ "วางใจในพระเยซู" (ซึ่งเราก็เน้นพระเยซู กันน้อยเกินไปทีเดียว) ไม่ว่าจะของประทานดีเลิศ ทำงานพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ได้เริ่มจากความรักของพระเยซู การงานนั้นก็เป็นแค่เพียง ไม้ หญ้าแห้ง ฟาง เมื่อพิสูจน์ด้วยไฟ สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเผาไหม้ไป ไม่มีค่าอะไรเลย



"ความเชื่อ ทำให้ทุกสิ่งเป็นได้
ความรัก ทำให้ทุกสิ่งง่ายไปหมด"

0 Comments:

Post a Comment

<< Home